โครงการใช้ผลงานวิจัยทางการพยาบาล
เนื้อหา1. การกำหนดประเด็นปัญหาทางคลินิก
1.1. ระบุประเด็นปัญหาที่สนใจทางคลินิกที่ต้องการปรับปรุง/แก้ไข ด้วยงานวิจัย พร้อมกลุ่มประชากร
ภาวะของ hypoglycemia หรือ hyperglycemia เป็นภาวะที่ต้องมีการเฝ้าระวัง ในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดจึงควรมีมาตรฐานในการเก็บตัวอย่างเลือดอย่างถูกต้อง ให้มีความแม่นยำหรือเกิดความผิดพลาดของค่าที่ได้น้อยที่สุด ดังนั้นจึงหาวิธีปฏิบัติการพยาบาลในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่มีมาตรฐาน สามารถได้ผลที่แม่นยำที่สุด นำมาปฏิบัติในหน่วยงานที่ดูแลผู้ป่วยทางระบบประสาทหลังผ่าตัด หรือผู้ป่วยอื่นที่ต้องทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- หลักการและเหตุผล
โรคเบาหวานเป็นความผิดปกติของเมตะบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นผลให้เกิดภาวะ hyperglycemia และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานทุพพลภาพและเสียชีวิต (สุทิน ศรีอัษฎาพรและวรรณี นิธิยานันท์, 2548) ในขณะที่ผู้ป่วย subarachnoid hemorrhage (SAH)และมีภาวะ vasospasm อยู่ พบว่าค่าระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับผลลัพธ์ที่ไม่ดีหลังการรักษา (Badjatia, et al., 2005) และให้หลีกเลี่ยงภาวะ hyperglycemia ในผู้ป่วย SAH หลังผ่าตัด (Takdhashi & Macdonald, 2006) ผลกระทบที่ตามมาคือระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลที่นานขึ้นและค่าใช้จ่ายในการรักษาที่เพิ่มมากขึ้น (Badjatia, et al., 2005) การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดจึงมีความสำคัญมากในการติดตามการรักษา การวินิจฉัย และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่บุคลากรทางการพยาบาลควรตระหนักอย่างยิ่ง
- วัตถุประสงค์
- เพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติการพยาบาลจากผลงานวิจัยในเรื่องการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด
- ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับ พร้อมทั้งแนวทางการประเมิน
เมื่อนำแนวทางปฏิบัติการพยาบาลมาใช้ในหน่วยงาน บุคลากรทางการพยาบาลทุกคนสามารถปฏิบัติการพยาบาลได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยประเมินจากใบตรวจสอบวิธีการเจาะเลือด ตามวิธีการเจาะ เลือดที่ระบุในแนวทางปฏิบัติ
2. แนวทางการสืบค้นงานวิจัยจากฐานข้อมูลสารสนเทศ2.1 คำสำคัญ
คำสำคัญที่ใช้ในการสืบค้นคือ plasma glucose, venous glucose, capillary blood glucose, puncture sites, sampling site
- ฐานข้อมูลที่ใช้ในการสืบค้น
- ผังการสืบค้น
2 เรื่อง
Blood glucose & capillary plasma &Venous plasma glucose
ASP
1 เรื่อง
Blood glucose & plasma & capillaryBlackwell
CINAHL
Puncture site & pain & capillary Capillary plasma glucose & sampling
2 เรื่อง
1 เรื่อง
Blood sampling & capillary plasma glucoseOVID
6 เรื่อง
- สรุปงานที่วิจัยที่สืบค้นได้
3. การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินคุณภาพงานวิจัย
3.1 การออกแบบการวิจัยมีความเหมาะสมและสอดคล้องกันตั้งแต่ชื่อเรื่อง ตัวแปร คำถาม/สมมติฐานการวิจัย วัตถุประสงค์ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย สรุปและอภิปรายผล
3.2 ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย: ผู้วิจัย วารสารที่ตีพิมพ์ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ความเที่ยงและความตรงของเครื่องมือ สถิติที่ใช้ ผลการวิจัย
เรื่องที่ 1: The Variability of Result Between Point-of-Care Testing Glucose Meters and the Central Laboratory Analyzer / level 2
มีความสอดคล้องกับประเด็นปัญหาตั้งแต่ชื่อเรื่อง ตัวแปร วัตถุประสงค์ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย สรุปและอภิปรายผล มีการทดสอบความเที่ยงและความตรงของเครื่องมือที่ใช้ก่อนนำมาใช้ในงานวิจัย มีความน่าเชื่อถือทั้งของผู้วิจัย สถิติที่ใช้และผลการวิจัย วารสารที่ตีพิมพ์
เรื่องที่ 2: Assessment of the pain of blood sugar testing: a randomized controlled trial / level 2
มีความสอดคล้องกับประเด็นปัญหาตั้งแต่ชื่อเรื่อง ตัวแปร วัตถุประสงค์ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย สรุปและอภิปรายผล กลุ่มตัวอย่างมีน้อย เมื่อทำการเปรียบเทียบกับประชากรส่วนใหญ่จะไม่มีความน่าเชื่อถือพอ แต่สถิติที่ใช้เหมาะสม ตีพิมพ์ในวารสารที่น่าเชื่อถือได้ ส่วนผู้วิจัย ไม่ได้ระบุว่าปฏิบัติงานในด้านใด
เรื่องที่ 3: Comparability of venous and capillary glucose measurements in blood / level 2
มีความสอดคล้องกับประเด็นปัญหาตั้งแต่ชื่อเรื่อง ตัวแปร วัตถุประสงค์ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย สรุปและอภิปรายผล มีการทดสอบความเที่ยงและความตรงของเครื่องมือที่ใช้ก่อนนำมาใช้ในงานวิจัย มีความน่าเชื่อถือทั้งของผู้วิจัย สถิติที่ใช้และผลการวิจัย วารสารที่ตีพิมพ์
เรื่องที่ 4: Alternate site blood glucose testing: do patients prefer it? / level 2
มีความสอดคล้องกับประเด็นปัญหาตั้งแต่ชื่อเรื่อง ตัวแปร วัตถุประสงค์ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย สรุปและอภิปรายผล กลุ่มตัวอย่างมีน้อย เมื่อทำการเปรียบเทียบกับประชากรส่วนใหญ่จะไม่มีความน่าเชื่อถือพอ แต่สถิติที่ใช้เหมาะสม ตีพิมพ์ในวารสารที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและผลการวิจัยซึ่งน่าเชื่อถือได้ และผู้วิจัยก็ปฏิบัติงานในหน่วยโรคเบาหวานโดยตรง
เรื่องที่ 5: Does Amethocaine gel influence blood results obtained from capillary sampling? / level 3
มีความสอดคล้องกับประเด็นปัญหาตั้งแต่ชื่อเรื่อง ตัวแปร วัตถุประสงค์ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย สรุปและอภิปรายผล งานวิจัยนี้เป็นเพียงการทดลองนำร่อง จำนวนกลุ่มตัวอย่างน้อยมาก แต่ความเที่ยงและความตรงของเครื่องมือได้ผ่านการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง วารสารที่ตีพิมพ์มีความน่าเชื่อถือ และผู้วิจัยเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เรื่องที่ 6: Measurement of glucose content in plasma from capillary blood in diagnosis of diabetes mellitus / level 3
มีความสอดคล้องกับประเด็นปัญหาตั้งแต่ชื่อเรื่อง ตัวแปร วัตถุประสงค์ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย สรุปและอภิปรายผล กลุ่มตัวอย่างมีน้อย เมื่อทำการเปรียบเทียบกับประชากรส่วนใหญ่จะไม่มีความน่าเชื่อถือพอ มีการทดสอบความเที่ยงและความตรงของเครื่องมือก่อนนำมาใช้ในงานวิจัย สถิติที่ใช้เหมาะสม ตีพิมพ์ในวารสารที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและผลการวิจัยซึ่งน่าเชื่อถือได้ และผู้วิจัยก็ปฏิบัติงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยโดยตรง
4. การสังเคราะห์งานวิจัย
เรื่องที่ 1: The Variability of Result Between Point-of-Care Testing Glucose Meters and the Central Laboratory Analyzer / Randomized control trial-level 2
ชื่อผู้วิจัย/วารสาร/ปีที่ตีพิมพ์: Khan A., Vasquez Y., Gray J., Wilans Jr. F., & Kroll M.H. / Arch Pathology Lab Medical / 2006
ทำการวิจัยในกลุ่มตัวอย่าง 358 คน โดยเป็นผู้ป่วยนอกที่มาตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำกับผู้ป่วยในโรงพยาบาล แล้ว เปรียบเทียบผลค่าน้ำตาลที่วัดจากเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด (glucose meter)จากยี่ห้อต่างๆ กับผลทางห้องปฏิบัติการ พบว่าค่าน้ำตาลที่วัดจาก glucose meter ในกลุ่ม Accu-Chek มีค่าความโน้มเอียง (Bias) น้อยที่สุด แม้จะตรวจวัดค่าน้ำตาลห่างกัน 5 นาที แต่จะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับค่าน้ำตาลที่ได้จากห้องปฏิบัติการ (p<.05) ในกลุ่ม hypoglycemia (< 50 mg/dl) จะมีค่า bias +10% และ กลุ่ม hyperglycemia (>500 mg/dl) มีค่า bias -20% และพยาบาลผู้ใช้เครื่องต้องผ่านการอบรมการใช้เครื่องมือก่อน
สรุปผลการนำไปใช้
- การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยเครื่องในกลุ่ม Accu-Chek จะให้ค่า bias น้อยที่สุด
- เมื่อทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อภาวะ hypoglycemia (< 50 mg/dl) ควรประมาณค่า ความโน้มเอียง [bias] +10% และ กลุ่ม hyperglycemia (>500 mg/dl) ควรประมาณค่า[bias] -20%
- ถ้าทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อภาวะsevere hypoglycemia และ hyperglycemia ควรส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- เครื่อง glucose meter ต้องมีการตรวจเช็คสภาพให้เป็นไปตามข้อกำหนดการดูแลรักษาของทางบริษัท
เรื่องที่ 2: Assessment of the pain of blood sugar testing: a randomized controlled trial / Randomized control trial-level 2
ชื่อผู้วิจัย/วารสาร/ปีที่ตีพิมพ์: Loverland M.E., Carley S.D., Cranfield N., Hillier V.F., & Mackway-Jones K. / The Lancet / 1999
ทำการวิจัยในผู้ป่วยที่มาตรวจที่ห้องฉุกเฉิน จำนวน 79 คน เป็นเพศชายโดยมีอายุมากกว่า 16 ปี ไม่มีความผิดปกติในการพูด, ต้องอยู่ในเกณฑ์ Alert จาก AVPU scale, ไม่มีเลือดออกผิดปกติ, ไม่มีความผิดปกติของการรับรู้ความรู้สึก (รวมถึง pain) หรือไม่มีรอยโรคบริเวณตำแหน่งที่จะทำการทดสอบ แล้วแบ่งกลุ่มการเจาะเลือดในตำแหน่งที่แตกต่างกันคือ บริเวณแขน นิ้วมือ และนิ้วหัวแม่มือ เพื่อประเมินความเจ็บจากตำแหน่งต่างๆ พบว่า ตำแหน่งด้านข้างของนิ้วหัวแม่มือจะเจ็บน้อยที่สุดและผู้ป่วยพึงพอใจมากที่สุดสรุปผลการนำไปใช้
1. ตำแหน่งบริเวณด้านข้างนิ้วหัวแม่มือจะเป็นตำแหน่งการเจาะเลือดที่เจ็บน้อยที่สุด โดยเฉพาะผู้ป่วยเพศชาย
เรื่องที่ 3: Comparability of venous and capillary glucose measurements in blood / Randomized control trial-level 2
ชื่อผู้วิจัย/วารสาร/ปีที่ตีพิมพ์: Colagiuri S., Sandbaek A., Carstensent B., Christensent J., Glumert C., Lauritzen T., & Borch-Johnsent K. / Diabetic Medicine / 2003 ทำการเปรียบเทียบค่าน้ำตาลจากการเจาะเลือดบริเวณ vein กับ capillary ในกลุ่มตัวอย่าง 609 คน ด้วยวิธีการสุ่ม การตรวจน้ำตาลทันที และตรวจหลังรับประทานน้ำตาลแล้ว 2 ชั่วโมง พบว่าค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าน้ำตาลที่ได้จาก vein กับ capillary ไม่แตกต่างกัน และสามารถเจาะตรวจค่าน้ำตาลจาก venous plasma และ capillary whole blood แต่ค่าจาก venous plasma จะเหมาะสมที่สุด
สรุปผลการนำไปใช้
- สามารถตรวจค่าน้ำตาลในเลือดได้ทั้งบริเวณ vein และ capillary
- ตัวอย่างเลือดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจาะหาค่าน้ำตาลในเลือดคือ venous plasma
เรื่องที่ 4: Alternate site blood glucose testing: do patients prefer it? / Randomized control trial-level 2
ชื่อผู้วิจัย/วารสาร/ปีที่ตีพิมพ์: Tieszen K.L. & New J.P. / Diabetic Medicine / 2003
เป็นการศึกษาตำแหน่งของการเจาะเลือดวัดระดับน้ำตาลในเลือดและความสะดวกของการใช้เครื่อง glucose meterด้วยการตรวจเลือดจากนิ้วโดยตรง, ใส่capillary tube เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและการใช้เครื่องยี่ห้อ soft-sense ที่เจาะเลือดบริเวณแขน จากกลุ่มตัวอย่าง 101 คน ที่มีอายุระหว่าง 16-60 ปี เป็นผู้ป่วยคลินิกเบาหวานและผู้ที่เคยใช้เครื่อง glucose meter ที่บ้าน พบว่า ผู้ป่วยที่ใช้เครื่อง soft-sense จะมีความเจ็บน้อยกว่าการเจาะเลือดบริเวณนิ้วที่ใช้เครื่อง glucose meter ทั่วไป ผู้ป่วยที่ใช้มีความพึงพอใจในการสะดวกของการใช้เครื่อง soft-sense ด้วย ค่า bias ระหว่างตำแหน่งที่เจาะกับการใช้ glucose meter และผลทางห้องปฏิบัติการเป็นค่าที่ยอมรับได้
สรุปผลการนำไปใช้
- การเจาะเลือดตรวจด้วยเครื่อง soft-sense จะทำให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยกว่าการเจาะเลือดบริเวณนิ้วเพื่อตรวจกับเครื่อง glucose meter ทั่วไป
- ค่าbias ของค่าน้ำตาลที่ได้จากการใช้เครื่องglucose meter ทั้งสองชนิดเป็นที่ยอมรับได้เมื่อเทียบผลที่ได้จากห้องปฏิบัติการ
เรื่องที่ 5: Does Amethocaine gel influence blood results obtained from capillary sampling? / Quasi-experimental study-level 3
ชื่อผู้วิจัย/วารสาร/ปีที่ตีพิมพ์: Llewellyn N., Liley A., Cropper J., & Hutchison L. / Pediatric nursing / 2006
เป็นโครงการนำร่องในการทดลองการใช้ยาชาเฉพาะที่ (มีส่วนประกอบ Amethocaine gel 4%)ทาบริเวณที่เจาะเลือดก่อนทำการเจาะตรวจหาค่าสารเคมี (Na+, K+, glucose, urea, ALP, AST, ALT และ bilirubin) เปรียบเทียบกับการไม่ใช้ยาชาทาเฉพาะที่ จากอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี จำนวน 22 คน โดยมีวิธีการเจาะเลือดตามการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ phlebotomists ผลพบว่า เลือดที่ได้จากนิ้วที่ทายาชาเฉพาะที่จะมีค่าของNa+ จะสูงกว่าและค่าของ ALP จะต่ำกว่า เลือดที่ได้จากนิ้วที่ไม่ได้ทายาชา อย่างมีนัยสำคัญ (p= .05)
สรุปผลการนำไปใช้
1. วิธีการเจาะเลือดโดย ต้องไม่ทำให้เกิดการเจาะเลือดซ้ำเพราะค่าที่ได้จะเป็นผลจากการที่เนื้อเยื่อถูกทำลาย, เมื่อจำเป็นต้องมีการเจาะเลือดซ้ำ บริเวณที่เจาะต้องมีการไหลเวียนเลือดดี, เลือดที่ออกต้องออกอย่างอิสระจากตำแหน่งที่เจาะ บางครั้งสามารถบีบให้เลือด ออกได้แต่ต้องมีการไหลกลับของเลือดดี, ห้ามรีดหรือกดบริเวณที่เจาะมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิด hemolysis และเกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าสารเคมีบางตัว และการกดจะทำให้ได้น้ำจากเนื้อเยื่อแทน, บริเวณที่เจาะต้องไม่หยาบและแห้ง, ก่อนเจาะ เลือกนิ้วที่ต้องการเจาะ ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ รอให้แห้ง ใช้ Autolet เจาะ เลือดหยดแรกให้เช็ดออก จากนั้นใช้แรงกดเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าเลือดที่ได้มีส่วนประกอบของสารเคมีอยู่ด้วย ( Na+ K+ urea glucose AST ALP ALT และ bilirubin) 2. สามารถใช้ยาชาที่มีส่วน ประกอบของ amethocaine 4% ใช้สำหรับลดความปวดก่อนการเจาะน้ำตาลได้เพราะไม่ทำให้ผล glucose มีการเปลี่ยนแปลง
เรื่องที่ 6: Measurement of glucose content in plasma from capillary blood in diagnosis of diabetes mellitus / Quasi-experimental study-level 3
ชื่อผู้วิจัย/วารสาร/ปีที่ตีพิมพ์: Stahl M. &Brandslund I. / Scandinavia Journal Clinical Laboratory Investigation / 2003
เป็นการวิจัยโดยใช้อาสาสมัคร 50 คน เจาะเลือดตรวจค่าน้ำตาลจากตัวอย่างเลือดที่แตกต่างกันคือ capillary plasma, capillary whole blood, venous plasma และ venous whole blood เปรียบเทียบด้วยวิธีที่แตกต่างกัน เปรียบเทียบตัวอย่างเลือดที่เจาะในตำแหน่งเดียวกัน พบว่าค่าน้ำตาลที่เจาะจาก capillary blood บริเวณนิ้วและติ่งหูมีความสอดคล้องกันสามารถใช้แทนกันได้, ผลการเปรียบเทียบเมื่อใช้ตัวอย่างเลือดต่างกันแต่ตำแหน่งเดียวกัน พบว่า ค่าน้ำตาลจาก plasma ของหูหรือนิ้ว สัมพันธ์กับค่าที่ได้จาก whole blood, ค่าน้ำตาลของ plasma เปรียบเทียบกับ whole blood ที่ได้จากเส้นเลือดดำตำแหน่งเดียวกันมีค่าสัมพันธ์กัน, ค่าน้ำตาลที่ได้จาก capillary plasma และ capillary whole blood ที่มีวิธีการวิเคราะห์ผลต่างกัน จะได้ผลส่วนใหญ่เหมือน กัน, ค่าความคลาดเคลื่อนจาก capillary plasma , capillary whole blood บริเวณนิ้วและหู , venous plasma ไม่แตกต่างกัน, ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานสามารถใช้ capillary blood จากหูได้เหมือนกับ venous plasma , ความแตกต่างระหว่างตำแหน่ง (vein และ capillary) และใช้วัดค่าในตัวอย่างที่ต่างกัน (plasma และ whole blood) จะทำให้แยกประเภทของผู้ป่วยเบาหวานได้ไม่ดี
สรุปผลการนำไปใช้- สามารถเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลได้จากทั้งนิ้วและหู
- สามารถใช้ plasma จาก vein ตรวจค่าน้ำตาลได้เพราะจะได้ค่าเทียบเคียงกับ whole blood ในตำแหน่งเส้นเลือดดำเดียวกัน ซึ่งมีวิธีการเก็บตัวอย่างเลือดส่งห้องปฏิบัติการอย่างถูกวิธี
- ค่าน้ำตาลของ capillary whole blood ไม่สามารถเทียบเคียงกับค่าน้ำตาลจาก venous plasma
- ถ้าต้องตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวานควรใช้ venous plasma ตามที่ ADA แนะนำ
- ถ้าต้องการติดตามผลน้ำตาลในเลือด สามารถใช้ตัวอย่างทั้ง capillary whole blood และ capillary plasma
5. การสร้างแนวทางปฏิบัติการพยาบาล
แนวทางปฏิบัติการพยาบาล (CNPG)เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด
วัตถุประสงค์ เพื่อให้บุคลากรทางการพยาบาลใช้เป็นแนวทางปฏิบัติการพยาบาลสำหรับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน
ความหมาย การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่ได้ผล เที่ยงตรง น่าเชื่อถือที่สุด ผิดพลาดน้อยที่สุด และผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดจากการเจาะเลือดน้อยที่สุด
ลักษณะกลุ่มประชากรที่จะใช้ CNPG
ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 16 ปี ได้รับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด
ผลลัพธ์การใช้ CNPG
1. ผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดมีความถูกต้อง แม่นยำและเชื่อถือได้
2. ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในการเจาะเลือดตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด
ที่มาของงานวิจัยหรือหลักฐาน
แหล่งข้อมูลสืบค้นจากฐานข้อมูลทาง electronic ในฐานข้อมูลของ CINAHL, OVID, Blackwell และ ASP ได้งานวิจัยทั้งหมด 6 เรื่อง แบ่งระดับความน่าเชื่อถือตามเกณฑ์ของ Melynk และ Fineout-Overholt (2005) ดังนี้ ระดับ 2 - 4 เรื่อง และ ระดับ 3 – 2 เรื่อง โดยมีคำสำคัญที่ใช้ในการสืบค้นคือ plasma glucose, venous glucose, capillary blood glucose, puncture sites, sampling site
แนวทางปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เจาะ สามารถเจาะเลือดได้ในตำแหน่งต่างๆ เช่น ติ่งหู นิ้วมือ แขน (Stahl & Brandslund, 2003 / level 3) แต่บริเวณนิ้วหัวแม่มือจะทำให้เจ็บน้อยที่สุด (Loverland, Carley, Cranfield, Hillier, & Mackway-Jones, 1999 / level 2)
ตัวอย่างเลือดที่ใช้
- สามารถใช้ตัวอย่างเลือดได้ทั้ง capillaty whole blood หรือ capillary plasma โดยเฉพาะในกรณีที่มีความจำเป็นในการติดตามระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง (Stahl & Brandslund, 2003 / level 3)
- ถ้าต้องการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวาน ให้ใช้ตัวอย่างเลือด venous plasma โดยเจาะจากเส้นเลือดดำ ใส่หลอด lithium heparin แล้วแช่น้ำเย็นหรือน้ำแข็ง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการภายใน 30 นาที (Stahl & Brandslund, 2003 / level 3)
ลดอาการปวด
- ใช้ยาชาทาเฉพาะที่ ที่มีส่วนประกอบของ amethocaine 4% ทาก่อนทำการเจาะเลือดเพื่อลดอาการเจ็บปวดจากการเจาะเลือด (Llewellyn, Liley, Cropper, & Hutchison, 2006 / level 3)
- เลือกเจาะบริเวณด้านข้างนิ้วหัวแม่มือ ซึ่งเป็นบริเวณที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดน้อยกว่าบริเวณอื่น(Loverland, Carley, Cranfield, Hillier, & Mackway-Jones, 1999 / level 2)
- วิธีการเจาะเลือด capillary sampling (Llewellyn, Liley, Cropper, & Hutchison, 2006 / level 3)
- ต้องไม่ทำให้เกิดการเจาะเลือดซ้ำในตำแหน่งเดิมเพราะค่าที่ได้จะเป็นผลจากการที่เนื้อเยื่อถูกทำลาย เมื่อจำเป็น ต้องมีการเจาะเลือดซ้ำบริเวณที่เจาะต้องมีการไหลเวียนเลือดดี
- เลือดที่ออกต้องออกอย่างอิสระจากตำแหน่งที่เจาะ บางครั้งสามารถบีบให้เลือดออกได้แต่ต้องมีการไหลกลับของเลือดดี ห้ามรีดหรือกดบริเวณที่เจาะมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิด hemolysis และเกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าสารเคมีบางตัว และการกดจะทำให้ได้น้ำจากเนื้อเยื่อแทน
- บริเวณที่เจาะต้องไม่หยาบและแห้ง เมื่อเลือกนิ้วที่ต้องการเจาะแล้ว ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ รอให้แห้ง ใช้ Autolet เจาะ เลือดหยดแรกให้เช็ดออก จากนั้นใช้แรงกดเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าเลือดที่ได้มีส่วนประกอบของสารเคมีอยู่ด้วย (Na+ K+ urea glucose AST ALP ALT และ bilirubin)
การตรวจโดยใช้เครื่องตรวจ glucose meter
- ผู้ใช้ต้องมีความรู้และผ่านการอบรมการใช้เครื่อง (Khan, Vasquez, Gray, Wians Jr., & Kroll, 2006 / level 2:
Llewellyn, Liley, Cropper, & Hutchison, 2006 / level 3)
- เครื่อง glucose meter ต้องมีการตรวจเช็คสภาพให้มีความแม่นยำในการอ่านค่า โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดของทางบริษัท (Khan, Vasquez, Gray, Wians Jr., & Kroll, 2006 / level 2: Stahl & Brandslund, 2003 / level 3)
- ควรตระหนักถึงค่าความโน้มเอียง (bias) ในผู้ป่วย hypoglycemia (< 50 mg/dl) จะมีค่า bias +10% และ กลุ่ม hyperglycemia (>500 mg/dl) มีค่า bias -20% (Khan, Vasquez, Gray, Wians Jr., & Kroll, 2006 / level 2)
ประเมินความพึงพอใจและความปวด (Loverland, Carley, Cranfield, Hillier, & Mackway-Jones, 1999 / level 2)
1. แบบประเมินความพึงพอใจ โดยกำหนดให้ 1 = ไม่พึงพอใจมากที่สุด และ 5 = พึงพอใจมากที่สุด
- 2. แบบประเมินความปวดโดยใช้ visual analogue scale
6. การประเมินความเป็นไปได้ในการนำผลงานวิจัยไปใช้ (Polit & Beck, 2004 / level 2)
6.1 Transferability
เป็นแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ในหน่วยงานได้ เพราะผู้ป่วยทางระบบประสาทหลังผ่าตัดจะมีการติดตามผลน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ และเสนอให้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ทุกหน่วยงานในองค์กรที่ต้องทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดนำไปปฏิบัติได้ เพื่อให้เป็นมาตรฐานการปฏิบัติพยาบาลที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
6.2 Feasibility
สามารถนำไปใช้ได้ทันที ไม่รบกวนการปฏิบัติงานเดิม วิธีปฏิบัติไม่ยุ่งยาก เน้นให้ผู้ปฏิบัติเห็นถึงความสำคัญเพื่อให้ความร่วมมือในการปฏิบัติได้ และหน่วยงานสามารถรองรับแนวทางปฏิบัตินี้ได้
6.3 Cost-benefit
เครื่อง glucose meter ในกลุ่มของ Accu-Chek จะมีความแม่นยำมากที่สุด เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย ในการจัดซื้อเครื่องเพื่อนำมาใช้ จะคุ้มทุนในระยะยาว เพราะสามารถเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากภาวะน้ำตาลต่ำหรือสูงได้ สามารถลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและองค์กร ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยได้
7. การวางแผนในการนำโครงการใช้ผลงานวิจัยที่พัฒนาขึ้นไปปฏิบัติ
เมื่อผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญหรือทางคณะฯ อนุมัติให้นำไปใช้ได้ ก็สามารถนำไปเสนอให้หน่วยงานจัดทำเป็นแนวทางปฏิบัติการพยาบาลได้ทันที
8. การวางแผนประเมินผลลัพธ์ของโครงการใช้ผลงานวิจัย
การประเมินผลหลังการนำผลงานวิจัยไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติแล้ว จะจัดทำใบประเมินใบตรวจสอบวิธีการเจาะเลือด ตามวิธีการเจาะ เลือดที่ระบุในแนวทางปฏิบัติ แล้วนำมาคำนวณอัตราการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติ นำเสนอผลให้หัวหน้าหน่วยงานรับทราบ เพื่อหาแนวทางแก้ไขเมื่อไม่เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติ
เอกสารอ้างอิง
สุทิน ศรีอัษฎาพร และ วรรณี นิธิยานันท์. (2548). โรคเบาหวาน. กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์.
- Badjatia, N., Topcuoglu, M.A., Buonanno, F.S., Smith, E.E., Nogueira, R.G., Rordorf, G.A., et al. (2005).
- Relationship between hyperglycemia and symptomatic vasospasm after subarachnoid hemorrhage
- [Electronic version]. Critical Care Medicine, 33(7), 1603-1609.
Colagiuri, S., Sandbaek, A., Carstensent, B., Christensent, J., Glumert, C., Lauritzen, T., & Borch-Johnsent, K.
(2003). Comparability of venous and capillary glucose measurements in blood [Electronic version].
Diabetic Medicine, 20, 953-956.
Khan, A., Vasquez, Y., Gray, J., Wilans Jr., F., & Kroll, M.H. (2006). The Variability of Result Between Point-of-
Care Testing Glucose Meters and the Central Laboratory Analyzer [Electronic version]. Arch Pathology
Lab Medical, 130,1527-1532.
Llewellyn, N., Liley, A., Cropper, J., & Hutchison, L. (2006). Does Amethocaine gel influence blood results
obtained from capillary sampling? [Electronic version]. Pediatric nursing, 18(6), 29-31.
Loverland, M.E., Carley, S.D., Cranfield, N., Hillier, V.F., & Mackway-Jones, K. (1999). Assessment of the pain
of blood sugar testing: a randomized controlled trial [Electronic version]. The Lancet, 354, 921.
Stahl, M. & Brandslund, I. (2003). Measurement of glucose content in plasma from capillary blood in
diagnosis of diabetes mellitus [Electronic version]. Scandinavia Journal Clinical Laboratory
Investigation, 63, 431-440.
Takdhashi, M. & Macdonald, R.L. (2006). Subarachnoid Hemorrhage [Electronic version]. Contemporary
Neurosurgery, 28(15), 1-8.
Tieszen, K.L. & New, J.P. (2003). Alternate site blood glucose testing: do patients prefer it? [Electronic
version]. Diabetic Medicine, 20, 325-328.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น